ถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันที่มีลักษณะเหมื่อนถุงอยู่บริเวณใต้ดวงตา ซึ่งไม่ได้มีอันตรายอะไรแก่ร่างกาย แต่อาจจะทำให้สาวๆบางคนอาจจะรู้สึกไม่สวย แต่งหน้ายาก และทำให้ไม่รู้มั่นใจในหน้าตา นอกจากนี้หากปล่อยไว้นานจะมีโอกาสทำให้ถุงใต้ตามัอาการหย่อนเพิ่มมากขึ้น ตามอายุที่มากขึ้น
สาเหตุในการเกิดถุงใต้ตา
ถุงใต้ตา เกิดจากการที่ส่วนของผนังกั้นบริเวณเปลือกตาส่วนล่างอ่อนแรงลง ทำให้ส่วนของเนื้อเยื่อที่มีหน้าที่คอยพยุงไขมันเอาไว้หย่อนตัว หรือหย่อนยาน เกิดเป็นถุงใต้ตาขึ้นมา
สำหรับสาเหตุในการเกิดถุงใต้ตาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับการใช้ชีวิตประจำวันของแต่คน ดังต่อไปนี้
- มีภาวะเครียด และการใช้สายตาหนัก
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ทำงานหนัก มีอาการเหนื่อยล้ามาก
- เกิดจากอาการก่อนมีประจำเดือน
- ขยี้ตาแรงๆ หรือเช็ดเครื่องสำอางบริเวณใต้ตาแรงเกิน
- ดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่เป็นประจำ
- อายุที่เพิ่มมากขึ้น
- ขาดการดูแลบริเวณรอบดวงเป็นระยะเวลานาน
- เกิดจากโรคภูมิแพ้
- ร้องไห้บ่อยครั้ง
ประเภทของถุงใต้ตา
ประเภทของถุงใต้ตานั้นสามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ได้แก่
1.ถุงใต้ตาเทียม
ถุงใต้ตาเทียม จะมีลักษณะบวมน้ำในส่วนของบริเวณใต้ตาล่างเช่นเดียวกับถุงใต้ตาแท้ เพียงแต่จะเกิดขึ้นมาแค่ระยะเวลาหนึ่ง และจะหายไปได้เอง โดยสาเหตุหลักๆในการเกิดถุงใต้ตาเทียม มีดังนี้
2.ถุงใต้ตาแท้
ถุงใต้ตาแท้ จะมีลักษณะเหมื่อนถุงอยู่บริเวณใต้ดวงตาอย่างที่กล้าวไว้ข้างต้น ซึ่งมีความแตกต่างจากถุงใต้ตาปลอมตรงที่ ถุงใต้ตาแท้เกิดมาจากส่วนของผนังกั้นเปลือกตาล่างอ่อนแรงลงจากสาเหตุต่างๆ เช่น อายุที่มากขึ้น กรรมพันธุ์ และภูมิแพ้เป็นต้น ด้วยปัจจัยต่างๆที่กล่าวมานั้นจะทำให้ไขมันด้านในบริเวณนั้นเกิดการหย่อนออกมาทำให้มีลักษณะเป็นถุงใต้ตานั่นเอง
วิธีการรักษาถุงใต้ตา
การรักษาถุงใต้ตา จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท เช่นเดียวกับสาเหตุในการเกิดถุงใต้ตา ดังต่อไปนี้
1.วิธีการรักษาถุงใต้ตาเทียม
วิธีการรักษาถุงใต้ตาเที่ยม ที่เกิดมาจากพฤติกรรมต่างๆของผู้เป็น สามารถรักษา หรือดูแลตัวเองให้หายได้ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และต้องไม่นอนดึกจนเกินไป
- ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ลง เลิกได้ให้เลิกเพื่อสุขภาพที่ดี
- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
- ดื่มน้ำเยอะ ๆ และรับประทานอาหารที่มีโปรตีน และวิตามิน บี
- รักษาโรคภูมิแพ้ของเอง และอย่าร้องไห้บ่อย
- ประคบเย็นในส่วนของถุงใต้ตา
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตา
- บำรุงด้วยสกินแคร์ต่างๆ
2.วิธีการรักษาถุงใต้ตาแท้
การรักษาถุงใต้ตาแท้สามารถทำได้ยากมากขึ้น กว่าการรักษาถุงใต้ตาเทียมเนื่องจาก เกิดจากสาเหตุในการเกิดนั้นแตกต่างกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้เลย โดยการรักษาถุงใต้ตาแท้จะมีทั้งหมด 3 วิธี ดังนี้
1.การผ่าตัดถุงใต้ตา
การผ่าตัดถุงใต้ตา คือการที่แก้ปัญหาในส่วนของถุงใต้ตาแท้ โดยการเก็บไขมัน และหนังส่วนส่วนที่เกินออก ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีถุงใต้ตามากผิดปกติ โดยจะมีวิธีการผ่าตัด 2 วิธี ได้แก่
- การผ่าตัดผ่านทางเยื่อบุตา (transconjunctiva lower blepharoplasty)
- การผ่าด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่มีไขมันมากเกินไป แต่ยังไม่มีอาการผิวใต้ตาหย่อนคล้อย โดยวิธีการผ่าตัดนี้จะทำให้ไม่มีแผลผ่าตัดในบริเวณภายนอก
- การผ่าตัดผ่านผิวหนัง (subcutaneous blepharoplasty)
- การผ่าด้วยวิธีนี้ จะเหมากับผู้ที่มีไขมันใต้ตามาก และยังมีผิวใต้ตาหย่อนคล้อยด้วย โดยวิธีการผ่าตัดนี้จะช่วยให้ส่วนของขอบตาล่างดูอิ่ม และไม่เกิดเป็นร่องลึกใต้ตา
*การผ่าตัดบริเวณรอบดวงตาถือเป็นจุดที่บอบาง ควรได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ที่มีความชำนาญ และประสบการณ์สูง
2.การฉีดสารเติมเต็ม
การฉีดสารเติมเต็ม จะทำการฉีดสารเติมเต็มไปในบริเวณร่องตา เพื่อทำการช่วยให้ร่องตาส่วนของถุงใต้ตานั้นดูน้อยลง ถือเป็นวิธีในการช่วยได้ไม่เต็มที่ และไม่ถาวร ทั้งยังมีความเสี่ยงในการฉีดเข้าเส้นเลือดตา ส่งผลให้ตาบอดได้
3.การกระชับผิวใต้ตาด้วยเลเซอร์
การกระชับผิวใต้ตาด้วยเลเซอร์ เป็นวิธีในการรักษาทางอ้อม ซึ่งอาจจะช่วยลดอาการบวมของถุงใต้ตาได้ไม่มาก ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันในถุงใต้ตามาก เพราะไม่สามารภนำส่วนที่เป็น ไขมัน ของเหลว และผัวหนังในส่วนเกินออกได้
วิธีดูแลหลังผ่าตัดถุงใต้ตา
- ช่วง 2-3 วันแรก ควรประคบเย็นบริเวณรอบดวงตาด้วยผ้าเย็น หรือเจลเย็น จะช่วยให้ลดอาการบวมแดง และช่วยให้หายเร็วยิ่งขึ้น
- เวลานอนให้ยกหัวสูงขึ้น โดยการหนุนหมอนเพิ่มในช่วง 2 สัปดาห์แรก
- ห้ามให้แผลโดนน้ำ 7 วัน หรือจนกว่าจะตัดไหม
- งดอาหารของแสลงต่างๆ จนกว่าจะตัดไหมออก
- คอยดูแลแผลให้แห้ง และสะอาด เพื่อลดอาการอักเสบและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
- งดใช้เครื่องสำอางบริเวณใกล้รอบดวงตา หรือใกล้แผลจนกว่าแผลจะหายสนิท
- รับประทานยา และทำตามคำแนะนำของแพทย์ ให้ครบถ้วน
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดจากการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้กับการศัลยกรรมทุกประเภท โดยส่วนของการผ่าตัดถุงใต้ตานั้นจะมีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนต่างได้ดังนี้
- บริเวณขอบตาล่างปริ้นออก
- สามารถรักษาได้ด้วยการนวดคลึงดวงตา แต่หากมีอาการรุนแรงก็จำเป็นต้องทำการนำผิวหนังส่วนอื่นมาปิดแทน
- มีแผลเป็นที่เห็นได้ชัด
- ส่วนใหญ่หลังจากผ่าตัดถุงใต้ตาแล้ว มีรอยแผลเป็นที่เลยยาวแล้วเห็นได้ชัดจากส่วนของใต้ตานั้น จะเกิดมาจากการที่กรีดผิวหนังในช่วงผ่าตัดยาวจนเกินไป หรืออาจเกิดจากการคำนวนของแพทย์ที่ผิดพลาดแล้วทำการเย็บแผลไม่ดี ส่งผลให้เห็นรอยแผลได้ชัดเจน
- น้ำตาไหลไม่หยุด
- เป็นภาวะที่รุนแรงที่สุดที่กล่าวมา แต่ถูกพบได้น้อย สาเหตุในการเกิดนั้นจะมาจากการที่แพทย์ผู้ทำการผ่าถุงใต้ตาพลาดไปโดนท่อน้ำตาเข้า ทำให้ส่วนของท่อน้ำตาบาดเจ็บส่งผลให้น้ำตาจะไหลออกมาเรื่อยๆ ต้องทำการผ่าตัดรักษาอย่างเร่งด่วน ด้วยวิธี Micro Surgery
ดูแลตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดถุงใต้ตา
ถึงแม้ว่าถุงใต้ตาจะไม่ได้เป็นปัญหาต่อสุขภาพร่างกายรุนแรงมากนัก แต่การที่เป็นถุงใต้ตานั้นก็จะส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพ ภาพลักษณ์ และความมั่นใจ เพราะฉะนั้นเราควรเริ่มการดูแลสุขภาพเบื้องต้น และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆก่อนที่ถุงใต้ตาจะถามหา โดยจะมีวิธีตัวเองเบื้องต้นดังต่อไปนี้
- ใช้เจลเย็น หรือผ้าก๊อซชุบน้ำเย็นประคบบริเวณดวงตาก่อนนอน
- ลดอาหารเค็ม และเกลือ
- พยายามเลิกบุหรี่ หรือลดให้น้อยลงที่สุด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งของ หรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดอาการ
วิธีการดูแลร่างกายเพื่อลดอาการของถุงใต้ตาด้วยตัวเอง
1.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
การดื่มน้ำที่สะอาดนั้นจำเป็นต้องมีปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย เพราะหากได้รับน้ำเข้าสู่ร่างกายที่ไม่เพียงพอจะส่งผลให้มีการสะสมน้ำบริเวณถุงใต้ตามากขึ้น จึงทำให้บริเวณถุงใต้ตาจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ส่วนสาเหตุนั้นเกิดมาจากการที่ร่างกายการขาดน้ำ หรือได้รับปริมาณน้ำที่น้อย ทำให้ต้องทำการสะสมน้ำในร่างกายเพิ่มขึ้นเพื่อเจือจางความเป็นกรด และด่างให้อยู่ในค่ามาตราฐานนั่นเอง เบื้องต้นควรดื่มน้ำวันละ 7-8 แก้วก็จะช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาลงได้
2.พักผ่อนให้เพียงพอ และควรนอนให้เป็นเวลา
การพักผ่อนให้เพียงพอถือเป็นพื้นฐานในการดูแลสุขภาพตัวเอง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นฟูร่างกาย หากได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะส่งต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อ และทำให้อาการถุงใต้ตารุนแรงมากขึ้น
โดยสามารถสังเกตอาการว่าพักผ่อนเพียงพอได้ด้วยตัวเองเวลาตื่น หากเกิดอาการอ่อนเพลียอยู่จะแสดงให้ว่ายังพักผ่อนไม่เพียงพอ แถมช่วงระยะเวลาในการนอนก็ส่งผลต่อสุขภาพด้วย ซึ่งเวลาที่ควรนอนที่สุดจะอยู่ในช่วง 24.00 – 01.30 น. เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่งสารโกรท ฮอร์โมน ( Growth Hormone ) ที่มีหน้าที่ในการช่วยซ่อมแซมเซล์ระบบการทำงานของร่างกายนั่นเอง
3.ลดการใช้สายตาที่เกินจำเป็น
การใช้สายตาที่มากเกินจะทำให้เกิดอาการตาล้า ส่งผลให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้การใช้สายตามากจนเกินไปยังส่งผลต่อสุขภาพของดวงตาในระยะยาวอีกด้วย
หากจำเป็นต้องใช้สายตาจ้องไปที่อะไรนานเช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หนังสือและอื่นๆ ควรจะต้องพักสายตาทุกๆ 2 ชั่วโมง ครั้งละ 15 – 20 นาที เพื่อที่ช่วยลดอาการความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อรอบดวงตา และจะช่วยให้ถุงใต้ตาไม่ขยายใหญ่มากขึ้น
4.ประคบเย็นบริเวณรอบดวงตา
ความเย็นจะช่วยให้กระชับถุงไขมันใต้ตาให้มีขนาดที่เล็กลง และยังทำการช่วยขับของเหลวที่อยู่ภายในของถุงตาออกมาได้ โดยการประคบเย็นสามารถนำถุงน้ำแข้ง เจลเย็น หรือผ้าชุบน้ำเย็นก็สามารถนำมาประคบได้
นอกจากนี้ยังสามารถนำผลไม้แช่เย็น ชนิดต่างๆ เช่น แตงกวา มะเขือเทศ นำมาวางไว้บนเบ้าตาทั้งสองข้าง และปล่อยทิ้งไว้ประ 20 นาที จะช่วยลดขนาดของถุงใต้ตาให้เล็กลงได้ ทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดของถุงใต้ตาสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นได้อีกด้วย
5.บำรุงรอบดวงตา ด้วยคริมบำรุง
ปัจจุบันครีมบํารุงรอบดวงตามีให้เลือกหลากหลายชนิด สามารถช่วยลดขนาด และการเกิดของถุงใต้ตาได้ซึ่งสามารถเลือกได้ตามอาการของบุคคลนั้นๆ แต่ควรศึกษาข้อมูลต่างๆให้ดีก่อนเริ่มใช้ เพราะบริเวณรอบดวงนั้นบอบบาง และการใช้ครีมมาทาบริเวณรอบดวงตาจะมีความเสี่ยงในการเกิดอาการระคายเคืองได้
*สุดท้ายเมื่ออายุขัยที่มากขึ้นครีมต่างก็อาจจะไม่ได้ช่วยมากนัก นอกจากชะลออาการของถุงใต้ตา ซึ่งในกรณีที่มีอาการบวมโตของถุงใต้ตามาก แนะนำให้ทำการเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษา
6.เลิกสูบบุหรี่ หรือสูบน้อยลงให้มากที่สุด
โดยส่วนใหญ่ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีขนาดถุงใต้ตาที่ใหญ่กว่าคนทั่วไป เป็นเหตุมาจากการที่ตัวบุหรี่มีสารต่างๆจำพวก นิโคติน ไฮโดรเจนไซยาไนด์คาร์บอนไดซัลไฟด์ ไนตริคออกไซด์ เป็นต้น โดยสารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติในการทำให้ผนังของเส้นเลือดหนามากขึ้น และเมื่อมีความหนามากขึ้นจะทำให้ของเหลวไม่สามารถไหลผ่านได้ ส่งผลให้เกิดการสะสมของเหลวที่จะนำไปสู่การเกิดถุงใต้ตาได้
คำถามที่พบได้บ่อย
ทําศัลยกรรมผ่าตัดถุงใต้ตาเจ็บหรือไม่
ก่อนที่จะเริ่มผ่าตัดแพทย์จะทำการหยอดยาชาลงไปในตาก่อน แล้วจึงค่อยเริ่มฉีดยาชาเป็นจุดบริเวณเปลือกตาอีกที เพราะฉะนั้นจะไม่เกิดอาการเจ็บอย่างแน่นอน
หลังได้รับการผ่าตัดถุงใต้ตา จะกลับมาเป็นอีกได้ไหม
โดยส่วนใหญ่นั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกเพราะไขมันในส่วนที่ถูกนำออกไปจากการผ่าตัดถุงใต้ตานั้นจะไม่กลับมาอีก แต้่อาจจะมีบางกรณีที่ผู้ป่วยมีไขมันที่มากทั้งในส่วนของตาบน และตาล่างอาจจะทำให้ไขมันกลับมาบ้างแต่ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะสามารถผ่าตัดซ้ำใหม่ได้ แถทในกรณีนี้ยังเกิดขึ้นได้น้อยครั้งอีกด้วย
ในบางท่านที่ได้รับการผ่าตัดถุงใต้ตาไปแล้วพบว่ามีอาการปูด หรือนูนขึ้นของขอบตาล่างนั้น จะไม่ใช่การเกิดขึ้นใหม่ของถุงใต้ตา แต่ปัญหาเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพราะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่สามารถเกิดได้ตามอายุขัยที่มากขึ้นนั่นเอง
การพักผ่อนไม่เพียงพอก่อให้เกิดถุงใต้ตาใช่ไหม
ใช่แล้ว การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูที่ไม่มากพอ ส่งผลให้เกิดถุงใต้ตาได้ และในกรณีผู้ที่มีถุงใต้ตาอยู่แล้วนั้น การพักผ่อนไม่เพียงพอก็ยังทำให้ถุงใต้ตามีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
โดยช่วงระยะเวลาในการพักผ่อนขอแนะนำให้อยู่ในช่วงของ 24.00 – 01.30 น. เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่งสารโกรท ฮอร์โมน ( Growth Hormone ) ที่มีหน้าที่ในการช่วยซ่อมแซมเซล์ระบบการทำงานของร่างกาย
ผู้สูงอายุสามารถเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาได้ไหม
ทำได้แน่นอนถ้าหากมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ และไม่ได้ป่วย หรือมีภาวะต้องห้าม ซึ่งหากสงสัย หรือมีถามก็สามารถติดต่อเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยตรงก่อนเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาได้
หลังได้รับการผ่าตัดถุงใต้ตา กี่วันแผลถึงหาย
ทั่วไปแล้วหลังจากได้รับการผ่าตัดแพทย์จะทำการนัดวันเพื่อตัดไหมโดยประมาณ 1 สัปดาห์ หลังผ่าตัด ต่อจากนั้นอาจจะมีอาการบวมอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ไปจนถึง 1 เดือน ขึ้นอยู่ที่การดูแล และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
โดยปกติหลังได้ผ่าตัด ในช่วงที่ยังไม่ตัดไหม ควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ และไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ หรือใช้เครื่องสำอางจนกระทั่งแพทย์อนุญาติให้ใช้ได้แล้ว